
แน่นอนว่าสายกินตัวยงจะต้องรู้จักหรืออย่างน้อยที่สุดไม่ว่าจะสายไหนๆ ก็อาจจะเคยได้ยิน ‘คู่มือ’ ที่รวบรวมร้านอาหารต่างๆ สุดแสนอร่อยมากมายจากทั่วโลกในนาม Michelin Guide (มิชลิน ไกด์) มาบ้างแล้ว โดยที่หลายๆ คนอาจจะเกาหัวสับสนกับชื่อของบริษัทผลิตยางระดับโลกจากฝรั่งเศสอย่าง Michelin ที่สะดุดตาและเป็นที่จดจำด้วยคาแรคเตอร์เจ้ายางสีขาวตัวอ้วนกลม วันนี้เมอร์รี่เลยขออาสาเล่าเกร็ดประวัติที่มาของรางวัลนี้ให้ฟังกันค่ะ สายกินไม่รู้ไม่ได้แล้ว!

ช่วงปีค.ศ. 1900 พี่น้องสองคนนามว่า Andre (อองเดร) และ Edouard (เอดูอาด์) ก่อตั้งบริษัทผลิตยางรถยนต์ในนามว่า Michelin Tyre ตามนามสกุลของเขาทั้งสอง แต่ในช่วงยุคนั้น ถนนหนทางสำหรับรองรับการคมนาคมด้วยรถยนต์ในฝรั่งเศสยังอยู่ในช่วงการขยายร่างสร้างตัว ทั้งฝรั่งเศสมีรถยนต์อยู่แค่ประมาณ 2,200 คันเท่านั้น
หลังจากผลิตเพียงแค่ยางรถยนต์มาได้ประมาณ 11 ปี ทั้งสองพี่น้องได้ผุดไอเดียทางการตลาดขึ้นด้วยแนวคิดที่เรียบง่ายแต่เฉียบคม นั้นก็คือ “ถ้าจะให้ยอดขายยางรถยนต์ดีขึ้น ก็ต้องให้คนออกไปเดินทางขับรถไกลๆ กันให้มากขึ้น เพื่อให้ยางถูกใช้มากขึ้นตาม” โดยแนวคิดทางการตลาดนี้เป็นอีกหนึ่งความทะเยอทะยานของสองพี่น้องที่อยากเปลี่ยนคอนเซ็ปต์การมีรถยนต์ (ซึ่งต้องมียาง!) จากการเป็นพาหนะสำหรับการเดินทางไปปิกนิกในสวนสาธารณะใกล้ๆ ละแวกบ้านไปเป็นการคมนาคมในระยะไกลมากขึ้น
Michelin Guide จึงถือกำเนิดขึ้นโดยการตระเวนเสาะหาร้านอาหารใกล้ไกลทั่วฝรั่งเศสที่ทั้งเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ รสชาติอร่อย และต้องพร้อมที่จะมอบประสบการณ์ดีๆ ในหลายๆ มิติให้กับนักชิมที่ดั้นด้นขับรถไปชิมถึงที่ โดยในปีต่อๆ มา Michelin Guide ก็ได้เริ่มขยายอาณาจักร ‘ไกด์’ ของตัวเองออกไปยังประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่องและได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จของร้านอาหารและเป็นหนึ่งในรางวัลด้านอาหารที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก
?????’? ????: Michelin Guide คือหนังสือคู่มือที่รวบรวมร้านอาหารที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานในแบบมิชลินอันประกอบไปด้วย:
Quality of the ingredients used (คุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร)
Mastery of flavour and cooking techniques (รสชาติและเทคนิคการปรุงอาหาร)
The personality of the chef represented in the dining experience (บุคลิกภาพของเชฟที่ถูกนำเสนอไปสู่ประสบการณ์ในการรับประทานอาหาร)
Value for money (ความคุ้มค่าคุ้มราคาของอาหาร)
Consistency between inspectors’ visits (ความคงเส้นคงวาของคุณภาพและรสชาติอาหาร)

ในช่วงแรกของการเริ่มผลิตแจกจ่าย Michelin Guide ออกสู่สาธารณะ ไกด์ปกแดงจากเจ้ายางอ้วนกลมเล่มนี้รวบรวมไว้เพียงแค่รายชื่อโรงแรมและสถานีให้บริการน้ำมันที่เป็นที่ตั้งของร้านอร่อยไว้เท่านั้น แต่เมื่อรายชื่อของร้านอาหารต่างๆ เริ่มมีมากขึ้น ในปี 1931 ระบบการให้คะแนนเพื่อจัดอันดับประเภทของร้านอาหารนั้นๆ หรือที่เรารู้จักกันในนาม Michelin Star หรือดาวมิชลินก็ได้ถูกริเริ่มขึ้น โดยระบบการให้ดาวนี้เป็นการมอบให้แก่ร้าน ไม่ใช่การให้แก่เชฟ
(1 ดาว) คือ ร้านอาหารคุณภาพสูงที่ควรค่าแก่การ “หยุดแวะชิม”
(2 ดาว) คือ ร้านอาหารยอดเยี่ยมที่ควรค่าแก่การ “ขับรถออกนอกเส้น” ทางเพื่อแวะชิม
(3 ดาว) คือ สุดยอดร้านอาหารที่ควรค่าแก่การ “เดินทางไกลเพื่อไปชิมสักครั้ง”
แน่นอนว่าเวลาผ่านไปกว่าร้อยปี มีเชฟจากร้านอาหารชั้นนำมากหน้าหลายตาทั่วโลกที่ได้รับรางวัลการันตีตำแหน่งยอดพีระมิดอันหอมหวานนี้ ผ่านประสบการณ์ที่สั่งสมมามากมายในแวดวงการทำอาหาร รวมไปถึงการเป็นที่ยอมรับต่อนักชิมอาหารทั่วโลกและมาตราฐานการให้คะแนนของ Michelin Guide ที่ไม่ถดถอยไปตามกาลเวลา
โดยเกณฑ์การให้คะแนนนี้ไม่ได้มาจากเชฟหรือผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอาหารแต่อย่างใด แต่เป็น ‘นักรีวิว’ คนธรรมดาทั่วไปที่ต้องผ่านการอบรมนานแรมปี และถูกไม่ให้แพร่งพรายความลับนี้กับใครแม้แต่คนในครอบครัว รวมถึงการห้ามให้สัมภาษณ์ต่อสื่อและการพูดคุยกันเจ้าของร้าน โดย ‘นักรีวิว’ เหล่านี้จะได้รับคำสั่งจากทาง Michelin ให้ตีเนียนไปเป็นลูกค้าทั่วไปปกติ จ่ายเงินกินเองวนๆ ไปประมาณ 3-4 ครั้งตลอดทั้งปีเพื่อให้มั่นใจในรสชาติและความคงเส้นคงวาของคุณภาพ
?????’? ????:
1. ณ ปัจจุบันปี 2022 เชฟที่มีร้านอาหารที่ได้รับ Michelin Star รวมกันมากที่สุดในโลกคือ Alain Ducasse เชฟชาวฝรั่งเศสที่ร้านอาหารของเขาได้รับดาวรวมกันมากถึง 17 ดาวจากร้านอาหารกว่า 36 ร้านของเขาทั่วโลก
2. เซเลบริตี้ เชฟชื่อดังอย่าง Gordan Ramsay ผู้เลื่องลือในความดุดัน ของบุคลิกในฐานะเชฟและกรรมการรายการแข่งขันทำอาหารชื่อดัง เคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Daily Mail ในปี 2013 ว่าเขาได้ร้องไห้เสียน้ำตาออกมาอย่างจริงจังเมื่อรู้ว่าร้านอาหาร Gordon Ramsay at The London ของเขาที่ได้ Michelin Star 2 ดาวติดต่อกันตั้งแต่ปี 2008 จนถึง 2013 ไม่ได้ถูกคัดเลือกให้ได้รับดาวต่อในปี 2014

เวลาผ่านไปเกือบ 90 ปี ในปี 2017 ที่ผ่านมานี้เอง Michelin Guide ก็ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลแวะมา ‘เยี่ยมชิม’ ประเทศที่อุดมไปด้วยของกินอร่อยๆ อย่างบ้านเราเป็นครั้งแรก พร้อมไม่ลืมที่จะพกดาวมาแจกให้กับสุดยอดร้านอาหารที่เข้ารอบตามแบบฉบับของมิชลินด้วย โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศลำดับที่ 6 ในเอเชียที่เจ้ายางอ้วนกลมแวะพกดาวมาฝากถัดจากเซี่ยงไฮ้ และโซลตามลำดับ
?????’? ????: ล่าสุดในปี 2021 Michelin Star ได้แตกประเภทของดาวออกมาอีกหนึ่งหมวดโดยใช้ชื่อว่า The Michelin Green Star เพื่อมอบให้แก่ร้านอาหารที่โดดเด่นในระบบการจัดหาวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหารในรูปแบบที่ยั่งยืน รวมถึงแนวทางปฏิบัติของร้านอาหารในด้านต่างๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดในปี 2022 ร้าน PRU จังหวัดภูเก็ต เป็นเพียง 1 ร้านในประเทศไทยที่ได้ดาวสีเขียวนี้

แน่นอนว่าร้านอาหารที่ได้ขึ้นทำเนียบสุดยอดร้านอาหารของ Michelin แต่ละร้านนั้นย่อมมาพร้อมกับราคาที่ค่อนข้างสูง เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพของวัตถุดิบ รวมถึงประสบการณ์ในการรับประทานอาหารแบบพรีเมียม หรือที่เราอาจจะคุ้นเคยกันในชื่อ Fine Dining แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกร้าน Fine Dining จะเท่ากับรางวัล Michelin Star และไม่ใช่ทุกร้านที่เข้าเกณฑ์สุดเคี่ยวของ Michelin Star จะต้องเป็นร้าน Fine Dining ที่วัดกันด้วยระดับราคาเพียงเท่านั้น
ในปี 1955 นั้นเองจึงได้ถือกำเนิดรางวัล Michelin Bib Gourmand (มิชลิน บิบ กูร์มองด์) ขึ้นมา เพื่อรวบรวมและแนะนำร้านอาหารที่โดดเด่นในเรื่องรสชาติ คุณภาพ แต่มาในราคาย่อมเยาตามมาตราฐานราคาของท้องถิ่นนั้นๆ โดยในปี 1997 สัญลักษณ์เจ้ายางอ้วนกลมแลบลิ้นพร้อมหม่ำๆ อาหารได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในฐานะสัญลักษณ์ที่การันตีถึงความอร่อยที่คุ้มค่าคุ้มราคา
?????’? ????: Tonchin Ramen ร้านราเมนต้นกำเนิดจากย่านอิเกบูกูโระ จากประเทศญี่ปุ่นที่มีสาขามากมายทั่วโลก ได้รับรางวัล Michelin Bib Gourmand จาก New York ถึง 3 ปีซ้อน (2019, 2020, 2022) พร้อมให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ความอร่อย การันตีมาตรฐานคุณภาพในแบบฉบับ Michelin ในราคาที่จับต้องได้ได้แล้ววันนี้ที่
ร้าน Tonchin Ramen ชั้น 1 ศูนย์การค้า The Mercury Ville @ Chidlom